
ต่อมาจึงมีการทำนาฬิกาทรายขึ้น
ซึ่งมีลักษณะเป็นแก้วเป่าสองชิ้นมีรูแคบๆ กั้นกลาง โดยใช้ทรายเป็นตัวบอกเวลา
จัดเป็นนาฬิกาแบบแรกที่ไม่อาศัยปัจจัย ดิน ฟ้าอากาศ มักใช้จับเวลาระยะสั้นๆ เช่น
การกล่าวสุนทรพจน์ การบูชา การเฝ้ายาม และการทำอาหาร เป็นต้น
สำหรับนาฬิกายุคใหม่ พัฒนาขึ้นช่วง ค.ศ.100 - 1300 ในยุโรปและในจีน คำว่า “Clock” ในภาษาฝรั่งเศสแปลว่า ระฆัง
อาศัยหลักการดึงดูดก่อให้เกิดน้ำหนักที่จะเคลื่อนคันบังคับ
ซึ่งจะทำให้เข็มนาฬิกาเคลื่อนที่ หอนาฬิกาแห่งแรกในโลก ติดตั้งที่ มหาวิหารสตร๊าสบวร์ก
ในเยอรมันนี ปี ค.ศ.1352 - 54 และปัจจุบันยังใช้งานได้อยู่
ต่อมาในปี ค.ศ.1577 จึงมีการประดิษฐ์เข็มนาที และในปี ค.ศ. 1656
จึงมีการประดิษฐ์ลูกตุ้มที่ใช้ในนาฬิกาทำให้บอกเวลาเที่ยงตรงยิ่งขึ้น
ส่วนนาฬิกาพก ประดิษฐ์ขึ้นโดย นายปีเตอร์ เฮนไลน์
ชาวเมืองนูเรม-บวร์ก
จากนั้นในปี ค.ศ.1962 มีการประดิษฐ์นาฬิกาเชิงอะตอมซีเซียม
ใช้ในหอดูดาวกรีนิช ประเทศอังกฤษ ซึ่งถือว่าจับเวลาคลาดเคลื่อนน้อยที่สุด
ในปัจจุบัน นาฬิกาอะตอมซีเซียม NIST-F1 ซึ่งตั้งอยู่ที่ National Institute
of Standards and Technology (NIST) สหรัฐอเมริกา
ได้ถูกกำหนดให้เป็นฐานเวลาหลักและฐานความถี่หลักของประเทศสหรัฐอเมริกา
โดยมีค่าความผิดพลาด 1 วินาทีใน 20 ล้านปี
นอกจากนี้
นาฬิกาอะตอมซีเซียม NIST-F1 ยังถูกใช้ในการกำหนดค่าเวลาสากลเชิงพิกัด หรือที่เรียกว่า UTC
(Coordinated Universal Time) ซึ่งหน่วยเวลาที่ใช้ในการอ้างอิงการหมุนของโลก ที่ใช้เครื่องหมาย บวก หรือ ลบ
เทียบจากหน่วยเวลาสากลที่อ้างอิงกับเวลา GMT (Greenwich Mean
Time) ซึ่งอ้างอิงกับเวลาสากลเชิงพิกัดที่ลองจิจูดที่ศูนย์องศา
ซึ่งผ่านตำแหน่งของหอดูดาวกรีนิช ประเทศอังกฤษ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น